โรงไฟฟ้าพลังน้ำเขื่อนขุนด่านปราการชล
โรงไฟฟ้าพลังน้ำเขื่อนขุนด่านปราการชลเป็นโครงการความร่วมมือด้านการพัฒนาพลังงานหมุนเวียนระหว่างการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยกับ กรมชลประทาน ในการใช้ประโยชน์จากน้ำในเขื่อนของกรมชลประทานให้เกิดประโยชน์สูงสุดตามยุทธศาสตร์ด้านพลังงานของรัฐบาล ประกาศในเดือน กันยายน พ.ศ.2546 ที่กำหนดให้มุ่งเน้นส่งเสริมและพัฒนาการใช้พลังงานหมุนเวียน (Renewable Energy) เพื่อลดการนำเข้าพลังงานจากต่างประเทศ
ในเดือนธันวาคม 2546 คณะรัฐมนตรีได้ประกาศนโยบายส่งเสริมให้มีการก่อสร้างโรงไฟฟ้าพลังน้ำขนาดเล็กบริเวณท้ายเขื่อนของกรมชลประทานเพื่อผลิตไฟฟ้า จากการปล่อยน้ำตามปกติของกรมชลประทานอยู่แล้ว โดยมอบหมายให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เป็นผู้รับผิดชอบโดยให้กระทรวงพลังงานเป็นผู้สนับสนุนด้าน เทคนิคการวางแผนและการพัฒนาเรื่องดังกล่าว ในการนี้ กรมชลประทานและการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ซึ่งได้รับมอบหมายจาก กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกระทรวงพลังงานตามลำดับ ได้ร่วมกันพิจารณาดำเนินการให้บรรลุวัตถุประสงค์ตามยุทธศาสตร์ดังกล่าว โดย กฟผ. แสดงเจตจำนง จะพัฒนาโรงไฟฟ้าพลังน้ำขนาดเล็กท้ายเขื่อนชลประทานรวม 6 แห่ง ซึ่งมีกำลังการผลิตรวมกัน 78.7 เมกะวัตต์ กฟผ. ได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรี ให้ดำเนินการก่อสร้างโครงการดังกล่าว เมื่อวันที่ 12 ธันวาคม 2549 ซึ่งโรงไฟฟ้าพลังน้ำขนาดเล็กท้ายเขื่อนขุนด่านปราการชลเป็นหนึ่งใน 6 โครงการที่ได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีในครั้งนี้ด้วย
ลักษณะโรงไฟฟ้า
ประกอบด้วยอาคารโรงไฟฟ้าคอนกรีตเสริมเหล็ก ตั้งอยู่บริเวณฝั่งขวาของเขื่อนขุนด่านปราการชล ขนาดกว้าง 12 เมตร ยาว 20 เมตร สูง 18 เมตร และท่อส่งน้ำเข้าโรงไฟฟ้า ชนิดท่อเหล็กขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 2 เมตร ยาว 60.5 เมตรซึ่งเชื่อมต่อกับอาคารระบายน้ำลงลำน้ำเดิมของตัวเขื่อน โดยน้ำที่นำมาใช้ผลิตไฟฟ้าเมื่อน้ำไหลผ่านเครื่องผลิตไฟฟ้า แล้วจะปล่อยให้ไหลกลับลงสู่ลำน้ำเดิมเพื่อใช้ในระบบของชลประทานต่อไป โรงไฟฟ้าติดตั้งเครื่องผลิตไฟฟ้าแบบ Horizontal-Shaft Francis Turbine มีกำลังการผลิตติดตั้ง 10.7 เมกะวัตต์ จำนวน 1 เครื่อง ซึ่งใช้ปริมาณน้ำในการผลิตไฟฟ้าเฉลี่ย 17.66 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที ที่ความสูงหัวน้ำ 66.65 เมตร ไฟฟ้าที่ผลิตได้ จะส่งต่อให้กับระบบสายส่งขนาด 22 กิโลโวลท์ของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคต่อไปเพื่อใช้ในพื้นที่ จ.นครนายกและพื้นที่ใกล้เคียง โรงไฟฟ้าจะสามารถผลิตพลังงานไฟฟ้าได้เฉลี่ยปีละประมาณ 27.99 ล้านหน่วยกิโลวัตต์-ชั่วโมง
ประโยชน์